
น้ำมันอโรม่าหรือน้ำมันหอมระเหยมีหลากหลายประเภทและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยมีความสามารถในการช่วยบำบัดรักษาสุขภาพและอารมณ์จิตใจ มักนำมาใช้ประกอบการนวดอโรม่าหรือนำมาใช้สูดดมผ่านเครื่องกระจายกลิ่น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับประเภทและคุณสมบัติของน้ำมันอโรม่าแต่ละชนิดกัน
น้ำมันอโรม่าถูกผลิตมาจากการกลั่นจากต้นไม้ ดอกไม้ ราก ผลไม้ ยางไม้ สมุนไพร และส่วนประกอบอื่นๆ ของพืช โดยปกติจะมีกลิ่นหอมและน้ำมันมีคุณสมบัติระเหยได้ ซึ่งนอกจากกลิ่นหอมแล้วน้ำมันแต่ละชนิดก็จะมีสรรพคุณต่างๆ กัน ที่ส่งผลต่อสภาพร่างกายและอารมณ์ จึงสามารถนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้ทั่วไป ปกติแล้วน้ำมันก็จะมีเกรดให้เลือก 4 ประเภทคือ
- เกรดบริสุทธิ์: เป็นน้ำมัน 100% หรือที่เรียกว่าน้ำมันอโรม่าแท้ เพราะไม่มีสารประกอบอื่นๆ เจือปน
- เกรดผสม: เป็นน้ำมันที่มีการนำสารผสมอื่นมาใช้เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
- เกรดน้ำหอม: เป็นน้ำมันที่ผสมสารสังเคราะห์เพื่อเพิ่มความหอม ไม่มีฤทธิ์ในการบำบัด
- เกรดสังเคราะห์: เป็นน้ำมันที่ผสมสารอื่นๆ เพื่อเจือจางความเข้มข้นลง
น้ำมันอโรม่ากลิ่นที่ได้รับความนิยม
1. น้ำมันลาเวนเดอร์
น้ำมันลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติในการผ่อนคลายความเครียดและช่วยลดอาการวิตกกังวล ด้วยกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์ น้ำมันลาเวนเดอร์ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบ สะอาด และช่วยให้การหลับนอนดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการบรรเทาอาการปวดหัวและลดความกดดัน
2. น้ำมันอบเชย
น้ำมันอบเชยมีคุณสมบัติที่ช่วยลดการอักเสบ สามารถใช้เป็นตัวช่วยในการรักษาผิวหนัง ด้วยคุณสมบัติที่เข้มข้น น้ำมันอบเชยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้ทำความสะอาดและบำรุงผิว
3. น้ำมันต้นชา
น้ำมันต้นชามีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการรักษาผิวที่มีปัญหา นอกจากนี้ มันยังช่วยบรรเทาอาการแพ้และช่วยปรับสมาธิ
4. น้ำมันเปปเปอร์มินต์
น้ำมันชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด บรรเทาอาการปวดหัว และช่วยในระบบการย่อยอาหาร กลิ่นหอมของน้ำมันเปปเปอร์มินต์ยังช่วยกระตุ้นความสดชื่น
5. น้ำมันส้ม
น้ำมันส้มช่วยเพิ่มความสดชื่นและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เพราะมีคุณสมบัติในการบำรุงผิว ทำให้ผิวมีความกระจ่างใส และยังช่วยในการย่อยอาหาร
6. น้ำมันโรสแมรี่
น้ำมันโรสแมรี่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ปรับปรุงความจำ และช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ น้ำมันโรสแมรี่มีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมความมีชีวิตชีวา
7. น้ำมันเจนิเปอร์เบอร์รี่
น้ำมันนี้ช่วยบำรุงระบบทางเดินปัสสาวะ ลดอาการปวด และช่วยในการขับของเสียในร่างกาย น้ำมันเจนิเปอร์เบอร์รี่ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

สรรพคุณของน้ำมันอโรม่า
บรรเทาอาการปวดเมื่อย
น้ำมันอโรม่าสามารถใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ เช่น การนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยบริเวณที่ปวดหรือตึง ช่วยลดอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรืออาการอักเสบต่างๆ
ผ่อนคลายความเครียด
น้ำมันอโรม่าช่วยลดระดับความเครียดในร่างกาย โดยการสูดดม กลิ่นหอมจะช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นเมื่อเราเครียด ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และจิตใจสงบ ก่อให้เกิดสมาธิ
ปรับปรุงการนอนหลับ
น้ำมันอโรม่าบางชนิด เช่น ลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติที่ช่วยผ่อนคลายและเสริมสร้างคุณภาพการนอนหลับ ช่วยแก้ภาวะนอนไม่หลับ ช่วยลดความวิตกกังวล สร้างความปลอดโปร่ง
ช่วยในการหายใจ
น้ำมันชนิดที่มีกลิ่นเข้มข้น เช่น ยูคาลิปตัสหรือมิ้นท์ ช่วยบรรเทาภาวะทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก ไอ หรือหอบหืด เพราะช่วยทำให้หายใจได้โล่งมากขึ้น
บำรุงผิว
น้ำมันอโรม่ามีคุณสมบัติในการบำรุงผิว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก ลดการเกิดริ้วรอย และช่วยในการรักษาสภาพผิวหนัง
ปรับปรุงภูมิคุ้มกัน
น้ำมันอโรม่าบางประเภทช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง สามารถต้านทานเชื้อโรคบางชนิดได้
ช่วยลดแบคทีเรีย เชื้อรา
น้ำมันอโรม่าบางชนิดช่วยกำจัดกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากแบคทีเรียและเชื้อราได้ ทำให้เกิดกลิ่นหอมและสร้างความรู้สึกสะอาด
สมาธิและความสงบ
การหายใจสูดกลิ่นหอมจากน้ำมันอโรม่าช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำสมาธิและการหาความสงบในจิต

ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันอโรม่า
ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้เสมอ
ควรทดลองหยดน้ำมันลงบนผิวหนังเพียงเล็กน้อย 2-3 หยดก่อนเสมอ เพื่อทดสอบดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หากไม่แพ้ก็สามารถใช้ต่อได้เลย แต่หากแพ้ควรหยุดและเลิกใช้ทันที
หลีกเลี่ยงน้ำมันอโรม่าที่ใช้สารประกอบบางชนิด
ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันอโรม่าที่มีสารประกอบจำพวกไฮโดรคาร์บอน ซึ่งอาจไปทำปฏิกิริยากับสารที่ตกค้างบนผิวหนังจากผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาร่างกายทั่วไป จนเกิดเป็นสารพิษที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้
สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน
สำหรับสตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งาน และควรใช้งานน้ำมันอโรม่าตามฉลากที่ระบุไว้
ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภูมิแพ้
ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่พึงระวังสารเคมีบางประเภท ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งานน้ำมันหอมระเหย รวมทั้งผู้ที่มีอาการภูมิแพ้สารประกอบในน้ำมันบางชนิด ควรหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัส
ระวังในการใช้กับเด็ก
ควรใช้น้ำมันที่มีความเจือจางกับผิวเด็ก เนื่องจากผิวหนังของเด็กบอบบาง แพ้ง่าย รวมถึงควรเก็บขวดน้ำมันอโรม่าให้พ้นจากมือเด็ก
เก็บให้พ้นจากแสงแดด
ควรเก็บน้ำมันให้พ้นจากแสงแดดและบรรจุให้มิดชิด เพื่อเป็นการรักษาและยืดอายุการใช้งานออกไป เนื่องจากแสงแดดจะทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพลง
ปกติแล้วน้ำมันอโรม่าจะไม่ละลายในน้ำ แต่จะละลายในน้ำมัน ดังนั้นสำหรับผู้ที่ใช้งานน้ำมันเป็นประจำควรมีตัวทำละลายเพื่อไว้เจือจางน้ำมันเสมอ หรือที่เรียกว่าน้ำมันตัวพา เช่น น้ำมันมะพร้าวน้ำมันมะกอก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองของน้ำมันอโรม่าได้
นอกจากนี้หากบ้านไหนมีสัตว์เลี้ยง อาจระวังเรื่องความเข้มข้นของน้ำมันที่ใช้งาน เพราะต่อมรับกลิ่นของสัตว์ไวกว่ามนุษย์มาก
การใช้น้ำมันอโรม่านั้นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนอย่างดวงตา จมูก ปาก และรูหู ที่ควรหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามควรทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง และหากมีข้อควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
อ้างอิง: https://aromaaromdee.com/how-to-use-essential-oils/